Room – ขังใจไม่ยอมไกลกัน 2015

เรื่องย่อหนัง
หนัง Room หรือชื่อไทยว่า ขังใจไม่ยอมไกลกัน Room บอกเล่าเรื่องราวพิเศษสุดของ แจ็ค (จาค็อบ เทรมเบลย์) เด็กชายซุกซนวัยห้าขวบ ผู้ที่มีคุณแม่ผู้รักและเอาใจใส่เขา (บรี ลาร์สัน จาก Short Term 12 และ Trainwreck) คอยดูแล เช่นเดียวกับแม่ที่ดีคนอื่น ๆ เธออุทิศตนให้กับการดูแลให้แจ็คมีความสุขและปลอดภัย เลี้ยงดูเขาด้วยความอบอุ่นและความรัก และทำในสิ่งปกติอื่น ๆ เช่นการเล่นเกมและเล่านิทาน อย่างไรก็ดี ชีวิตของพวกเขาห่างไกลจากความ

ปกติลิบลับ เพราะพวกเขาถูกขังอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมขนาด 10×10 ฟุต ที่ไร้หน้าต่าง ซึ่งแม่เรียกมันว่า “ห้อง” แม่ได้สร้างโลกทั้งใบให้กับแจ็คภายในห้องนั้น และเธอก็จะไม่ยอมให้อะไรมาหยุดยั้งเพื่อทำให้แน่ใจว่าแม้กระทั่งในสภาพแวดล้อมที่น่าอึดอัดนี้ แจ็คจะสามารถมีชีวิตที่สมบูรณ์พูนสุขได้ แต่เมื่อแจ็คอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ของพวกเขามากขึ้นเรื่อย ๆ และความอดทนของแม่ดำเนินมาถึงขีดสุด พวกเขาก็วางแผนการเสี่ยงหลบหนี ซึ่งท้ายที่สุด ก็นำพวกเขามาเผชิญกับสิ่งที่อาจจะกลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด นั่นคือโลกที่แท้จริง
ตัวอย่างหนังออนไลน์

รีวิวหนัง
Room (Lenny Abrahamson / Canada, Ireland, UK / 2015)

หนังสือมันต้องมีอะไรดีๆ มากไปกว่านี้มากๆ แน่ๆ คือพอลองมองเป็นบทบนกระดาษแบบไม่มีภาพหนังมาผลักให้เรารู้สึกมันก็รู้สึกว่ามันอ่อนรายละเอียด ถ้าลงลึกสำรวจตัวละครให้มากกว่านี้มันน่าจะสะพรึงได้มากๆ คือด้วยความที่มันเป็นหนังแม่ลูกนี่นึกไปไกลถึงการสำรวจตัวละครแบบ The Babadook (Jennifer Kent / Australia, Canada / 2014) เลยนะ แต่นี่ยังรู้สึกว่าหนังทั้งเรื่องเป็นแค่ตัวอย่างเวอร์ชั่นขยาย 2 ชั่วโมงอยู่เลย คือมันยังไปต่อหรือชำแรกความรู้สึกระหว่างทางได้อีก ยังอยากเห็น Jack ออกไปเจอสังคมภายนอก ยังอยากเห็นนางเอกกับสื่อมวลชนที่ตบตีกัน และครอบครัวพ่อแม่นางเอกที่ดูเหมือนจะมีอะไรซ่อนหลืบอยู่อีกเยอะ ตาที่ไม่ยอมรับหลานที่เกิดมาจากเหตุไม่น่าพึงใจ ดูเหมือนทุกๆ อีลีเมนต์ความสัมพันธ์มันยังไม่จบอยู่แค่นั้น มันยังไปต่อได้อีกบานเลย
แต่ถึงจะมีอยู่แค่นี้ก็ยังชอบหนังอยู่นะ ยังดีที่อีกมุมหนึ่งบรรยากาศอึมครึมระหว่างความสัมพันธ์บางอันที่ยังไม่ได้คลี่คลายดีมันยังทำงานให้เราเอ็นจอยกับความสงสัยนั่นได้อยู่ ความรู้สึกประมาณเวลาที่เห็นผัวเมียข้างห้องทะเลาะกันที่บางโอกาสมันก็บันเทิงดีแต่พอสถานการณ์นิ่งเราก็จะไม่ไปซอกแซกอะไรหรอกได้แค่สังเกตอยู่ห่างๆ ในฐานะคนนอก และแอบซึมซาบบรรยากาศอึมครึมราวกับอยู่ในช่วงสงครามเย็นย่อมๆ ที่ยังเถียงกันไม่จบดีต่อไป ซึ่งเราเอ็นจอยเพราะมันไม่ใช่ปัญหาของเราและพอถึงเวลาหนึ่งเราก็ไม่อยากจะรู้ต่อแล้วเพราะมุมใจเขาใจเรามันก็เป็นเรื่องของผัวเมียเขาเราก็วางมันไว้ตรงนั้นไม่ต้องไปยุ่ง เดินผ่านวันหลังก็ค่อยเหลือบดู ซึ่งหลังจากดูจบความรู้สึกประมาณนี้มันก็ซ่านขึ้นมา

เออ..จะว่าไปแล้วความรู้สึกกับคำถามของสื่อตอนพยายามสัมภาษณ์ลงลึกไปทางมุมดาร์คตอกย้ำซ้ำแผลของชีวิตนางเอกที่ในมุมมองหนึ่งก็รู้สึกว่าไม่ควรถามเนี่ย มันก็ย้อนแย้งกับความคิดความรู้สึกที่เราอยากจะรู้เรื่องรู้ราวรู้ลึกถึงตับไตไส้พุงของนางเอกไปมากกว่านี้เหมือนกันนะ เออ..แต่นี่เรากำลังรู้สึกกับหนังนี่นะ

วิธีการเล่าการกำกับเท่าที่เห็นและมีอยู่เนี่ยก็ชอบเลยนะ แค่เสียดายว่ามันมีเรื่องราวที่ทำให้ใจเรามันพังครืนหรือฟูฟ่องได้เลยแต่หนังกลับพาเราเดินชมนกชมไม้แค่รอบๆ ส่วน Brie Larson ดีงามตามเนื้อผ้า(แต่ยังเชียร์ป้า Charlotte Rampling จาก 45 Years อยู่ดี) แต่ที่ตรึงเราไว้กับเรื่องได้มากกว่าคือ Jacob Tremblay ไอ่เด็กน้อยที่เล่นเป็นลูกชาย ชอบตัวละครนี้มากๆ การที่ไม่ตัดผมจนผมยาวและดูปวกเปียกทำให้ดูเหมือนเด็กผู้หญิงอยู่ตลอดเวลา และการที่อยู่กับแม่มาตลอดมันก็ยิ่งทำให้ไม่ค่อยอยากเชื่อว่ามันเป็นเด็กผู้ชาย แล้วพอออกมาเห็นโลกภายนอกรีแอคชั่นของเด็กมันก็ยังดูไม่แน่ไม่นอนไม่ชัดเจนให้เราเห็นว่าเด็กนี่มันจะเติบโตในสังคมที่ไม่เคยพบเคยเจอได้ยังไง จนตัดผมยาวทิ้งไปมันก็ยังรู้สึกน่าพิศวงกำกวมในตัวละครนี้อยู่ บางความรู้สึกก็คิดว่ามันจะโตมาเป็นเด็กเปรต แบบเปรตสักทางที่ทำให้ปัญหาไม่หยุดอยู่แค่นี้ ทำให้ทิ้งมันออกไปจากหัวเราไม่ได้ ซึ่งไม่ค่อยรู้สึกกับตัวละครไหนแบบนี้มาก่อนและทำให้ยังชอบหนังมากๆ อยู่
อย่างภาพนี้เป็นช็อตแรกของเด็กที่ถูกขังไม่ให้เห็นโลกภายนอกมาตั้งแต่เกิดอย่าง Jack ได้เห็นโลกภายนอกเป็นครั้งแรก โอยยยยยยยยยย..น้ำตาแทบร่วง ตอนนั่งเขียนอยู่นี่จำไม่ได้แล้วว่าหนังให้เห็น POV ของช็อตนั้นมั้ย แต่ภาพที่เราเห็นผ่านสายตาของ Jack คือภาพท้องฟ้าว่างเปล่าผ่านแววตาตื่นตะลึงที่เต็มไปด้วยคำถามความสงสัยในความว่างเปล่านั้น มันทำให้จุกใจมากๆ ว่าบางทีการที่ถูกขังมาตั้งแต่เกิดอาจจะทำให้เด็กน้อยไม่รู้สึกถึงอิสระภาพ แต่เต็มไปด้วยความกลัวแทนก็เป็นได้